เมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 13 ก.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีกรณีพบว่ามีกลุ่มทหารสัญชาติอียิปต์กลุ่มหนึ่ง จำนวน 31 คน เดินทางไปยังประเทศเสี่ยงปฏิบัติภารกิจทางทหาร และเข้ามาพักที่ จ.ระยอง ในโรงแรมแห่งหนึ่ง และมีการเดินทางไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง โดยเดินทางมาในวันที่ 6 ก.ค.ลงเครื่องสนามบินอู่ตะเภา เข้ามาพักโรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองระยองในวันที่ 8 ก.ค.ก่อนจะเดินทางออกจากไทยไปจีน กลับเข้ามาไทยพักโรงแรมเดิมที่ระยอง และเดินทางกลับเดินทางออกจากประเทศไทยกลับประเทศอียิปต์ในวันที่ 11 ก.ค. ก่อนที่ในวันที่ 12 ก.ค.จะตรวจพบว่ามีทหาร 1 คน อายุ 43 ปี ติดเชื้อโควิด-19 ดังกล่าว
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ในชื่อ หมอตี๋ สาธิต ปิตุเตชะ สั้นๆ ว่า “ผมและกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่ต้องควบคุมโรคให้ประชาชนมีความเสี่ยงน้อยที่สุด และปลอดภัยมากที่สุด” โดยมีประชาชนเข้ามาคอมเม้นต์แสดงความวิตกกังวลหลากหลายทั้งให้กำลังใจการทำงานในฐานะรัฐมนตรีช่วยฯ แพทย์ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งอยากให้เปิดเผยโรงแรมและห้างสรรพสินค้าที่กลุ่มทหารเข้าพักและเดินเที่ยว
ก่อนที่ในเวลาต่อมา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะโพสต์เฟสบุ๊คอีกครั้ง ระบุว่า กรณีที่พบมีผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าพักจังหวัดระยองนั้น สาเหตุการออกจากระบบที่ สธ. กำหนดนั้น เกิดจากอะไรผมกำลังรอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทัพอากาศ และ การบินพลเรือน ซึ่งขณะนี้ดำเนินการสอบสวนอยู่ ผมขอให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ให้ข้อมูลแต่ในส่วนของงานสาธารณสุขที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม คือจะต้องควบคุมโรคให้ประชาชนมีความเสี่ยงน้อยสุด และปลอดภัยมากที่สุด โดยขณะนี้เราได้ดำเนินการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในโรงแรม และห้างสรรพสินค้า แหลมทอง และ ห้าง Central รวมถึงพาหนะในการเดินทางของกลุ่มเสี่ยง ทะเบียนรถที่ใช้ และ บุคคลที่ร่วมเดินทาง โดยจะนำผู้ที่มีความเสี่ยงทั้งหมด มาตรวจหาเชื้อ อย่างไรก็ตามยังเชื่อมั่นว่าตามสถานที่ให้บริการต่างๆยังคงยึดตามระเบียบและกฎเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขได้วางไว้คือ Check in ให้ข้อมูลโดยApplication ไทยชนะการสวมใส่หน้ากากอนามัยการใช้แอลกอฮอล์ล้างมือซึ่งมาตรการดังกล่าวจะมีช่วยในการป้องกันการติดต่อผมขอให้ประชาชนในพื้นที่ มีความมั่นใจว่าในส่วนงานของสาธารณสุขจะสามารถควบคุมการแพร่กระจายโรคได้ โดยพรุ่งนี้ผมจะเดินทางลงไปพื้นที่ พร้อมรถตรวจเชิงรุกพระราชทานเพื่อดูแลและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง.
